วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

บทความพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร



 

9point Hedonic scales


การทดสอบความชอบของผู้บริโภคด้วยวิธี 9Point Hedonic Scales Test นิยมใช้ในการทดสอบการยอมรับของผู้บริโภค หรือใช้ทดสอบการยอมรับหลังจากได้พัฒนาสูตรต้นแบบเสร็จแล้ว โดยเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากมีความง่าย แม้มีตัวอย่างเดียวก็สามารถใช้วิธีนี้ ทดสอบความชอบของผู้บริโภคที่มีต่อตัวผลิตภัณฑ์หรือตัวอย่างที่นำมาทดสอบได้ นอกจากนั้นยังสามารถประยุกต์แบบฟอร์ม เพื่อหาความชอบโดยรวมของกลุ่มผู้บริโภคที่มีต่อคุณลักษณะต่างๆได้เช่นเดียวกัน อันเป็นการต่อยอดทางความคิด ซึ่งการออกแบบฟอร์มที่ดีจะต้องกระชับ ไม่เยิ่นเย้อ เนื่องจากผู้ทดสอบทั่วไปไม่ชอบการนั่งเขียนพรรณนาความชอบเป็นหน้ากระดาษ การใช้ตัวเลขเพื่อใช้บอกความชอบจึงเป็นทางออกในการเก็บข้อมูลที่ตรงไปตรงมา ได้แปรผลทางสถิติง่ายที่สุดด้วย

สมมติว่ามีตัวอย่างการพัฒนาน้ำส้มยูเอชทีที่มีการใส่เกล็ดส้มลงไปด้วย หากเราต้องการอยากทราบว่ากลุ่มผู้ทดสอบตัวอย่างชอบสูตรไหนมากกว่ากัน ชอบมากเท่าไหร่ ระดับความชอบอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้หรือไม่ ก็มีเทคนิคในการวิเคราะห์แปรผลความชอบง่ายๆ โดยเริ่มจากการสุ่มใส่เลขรหัสของตัวอย่างลงไปก่อน
 ตัวอย่างน้ำส้มวัดระดับความชอบ


จากนั้นก็เซิร์ฟตัวอย่างทั้งสอง ให้กับผู้ทดสอบทีละตัวอย่าง หรือ เซิร์ฟพร้อมกันก็ได้ โดยให้ผู้ทดสอบชิม และระบุตัวเลขระดับความชอบลงไปในแบบฟอร์มที่ออกแบบไว้
 แบบฟอร์มที่1


นี่เป็นตัวอย่างของการออกแบบแบบฟอร์มทดสอบความชอบของ 9Points Hedonics Scale แบบง่ายๆ ซึ่งผู้อ่านบทความนี้ สามารถนำตัวอย่างนี้ไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาสูตรได้ ยกตัวอย่างเช่น การวัดความชอบของแต่ละคุณลักษณะที่ปรากฏโดยอาศัยรูปแบบการทดลองของ 9Point Hedinic Scales ตามตัวอย่างแบบฟอร์มด้านล่าง
 แบบฟอร์มประยุกต์


แบบฟอร์มข้างต้นนี้ใช้เพื่อเก็บข้อมูลความพึงพอใจของผู้บริโภคในคุณลักษณะต่างๆ แล้วจึงเก็บข้อมูลตัวเลขไปแปรผลการทดสอบโดยทดสอบความแตกต่างด้วย t-test หรือวิเคราะห์ความแปรปรวน ANOVA นอกเหนือไปจากนี้แบบฟอร์มข้างต้นนี้ยังสามารถนำไปประยุกต์เพื่อการประเมินทางประสาทสัมผัสด้วย Ratio Profile Test กับตัวอย่างในอุดมคติ ที่จะมีการเปรียบเทียบคุณลักษณะปรากฏด้วยการใช้แผนภาพใยแมงมุม




แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเชิงปฏิบัติ


หลักการพัฒนาผลิตภัณฑ์เราสามารถที่จะนำไปปรับใช้งานกับการผลิตในไลน์ต่างๆได้สารพัด ไม่เพียงแต่สายอาหารตามคอมเซปท์ของเราเท่านั้นนะครับ อุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องจักรการผลิต, รถยนต์, เฟอนิเจอร์, ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ เป็นต้น ก็ต้องมีการที่จะต้องรู้จักนำหลักการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปใช้ทั้งนั้น ผู้ผลิตสินค้าผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่ติดตลาด เอาออกมาขายแล้วก็นั่งๆนอนๆ ถ้าแบรนด์ไม่แข็งจริง หรือผู้บริโภคเขาสร้างกลุ่มลัทธิบริโภคแบรนด์นิยมตรงนั้นขึ้นมา ก็มีสิทธิตกกระป๋องในเวลาไม่นานได้เหมือนกันครับ เพราะทันทีที่สินค้าตัวไหนก็ตามแต่เป็นที่นิยมของผู้บริโภค ย่อมจะมีคู่แข่งที่ต้องการส่วนแบ่งการตลาดเสมอๆ

แนวทางในเชิงปฏิบัติของงานทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมตัวอย่างอธิบายประกอบ มาอธิบายประกอบด้วย ซึ่งมันก็คือการด้นสดทั้งนั้น..เพื่อให้ผู้อ่านโดยทั่วไปสามารถเข้าใจได้โดยง่าย ก็จะอธิบายเรื่องใกล้ตัว ไม่นับเฉพาะอาหารมาแต่เพียงอย่างเดียว

1. การปรับปรุงตัวผลิตภัณฑ์เดิม


เปลี่ยนรูปร่างและโครงสร้าง

เริ่มแรกก็จะขอยกตัวอย่างที่ไม่ใช่อาหารกันก่อนนะครับ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของการปรับเปลี่ยนรูปร่างและโครงสร้าง โดยที่คงคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ไว้ ได้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ หลายๆยี่ห้อในบ้านเรา รถที่ออกปี 2008 กับ2010 นอกจากกระจังหน้า แล้วท้ายแล้ว อย่างอื่นที่เป็นองค์ประกอบหลักเช่น ระบบเครื่องยนต์, ช่วงล่าง, ระบบไอเสีย แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย

การ์ดจอ และซีพียูบางยี่ห้อ... ก็ทำกันได้เหมือนกัน ถ้าสนใจเรื่องสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ เราจะพบว่าการ์ดจอบางตัวที่ออกมาในระยะเวลาปีเดียวกัน ตัวชิปกราฟฟิกที่ทำหน้าที่ประมวลผลระหว่างตัวล่างกับตัวรุ่นกลาง ก็เป็นตัวเดียวกันรุ่นเดียวแท้ๆ ใช้code nameการผลิตเหมือนกัน เพียงแต่ว่าทางโรงงานเขาทำการโอเวอร์คล็อกให้มีสปีดนาฬิกาสูงขึ้นเล็กน้อย

แต่ถ้าเป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์อาหารที่มีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ในรูปแบบนี้ ผมขอยกตัวอย่างแหนมครับ เรามีทั้งแหนมแท่งขนาดใหญ่ ขนาดพอดีบริโภค และแหนมตุ้มจิ๋ว แหนมทุกแบบที่ว่ามาสามารถเอามาบริโภคได้เหมือนกัน ทั้งยำ บริโภคสด ซึ่งไม่ว่าจะแหนมแท่ง แหนมตุ้ม ทุกอย่างเหมือนเดิมหมดไม่ว่าจะเป็นสูตรการผลิต บรรจุภัณฑ์ โดยแตกต่างกันเพียงขนาดบริโภคที่ผู้ผลิตมีทางเลือกในการเลือกซื้อให้กับลูกค้าผู้ซื้อ



ปรับปรุงกรรมวิธีและเครื่องจักรการผลิต

การปรับปรุงกรรมวิธีการผลิต เป็นการพัฒนากระบวนการผลิตโดยที่คงสูตรเดิมไว้ เช่น การใช้เครื่องมือเครื่องจักรมาช่วยผลิตแทนมือมนุษย์ ซึ่งก็เป็นขั้นตอนของการขยับขยายเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และเพิ่มความเที่ยงตรงในการผลิต หรืออาจจะมีความตั้งใจในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรโดยเหตุผลในการอนุรักษ์พลังงาน นอกจากนั้นการปรับปรุงกรรมวิธีการผลิตอาจจะเกิดเพื่อแก้ไขจุดด้อยของการผลิตตามจุดต่างๆของการผลิตด้วย เช่น เพื่อลดการปนเปื้อน, ลดการสูญเสียสารอาหาร

ปรับปรุงสูตรผลิตภัณฑ์

จะยกเรื่องการพัฒนาสูตรของผงซักฟอกในอดีตนะครับ ในอดีตนั้นเจ้าตลาดไม่ใช่ยูนีลิเวอร์ แต่เป็นอีกเจ้านึงที่เอาผงซักฟอกสูตรญี่ปุ่นมา ซึ่งจากการที่ผู้ท้าชิงอย่างยูนิลิเวอร์รู้จักทำสินค้าออกมาขายคนไทย รู้ใจว่าแม่บ้านชาวไทยของเราชอบผงซักฟอกแบบฟองเยอะๆ ยิ่งเยอะยิ่งขยี้มันมือ และฟองเยอะแล้วสะใจดี ขนาดว่าซักด้วยเครื่องยังขอเอามือไปขยี้พอเป็นพิธีอีก...แต่อย่างไรก็ตามครับ ปัจจัยอื่นๆนอกเหนือจากฟองเยอะ ก็เป็นส่วนประกอบที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้ผงซักฟอกเช่นกัน

2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่


ตัวอย่างของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เห็นชัดๆ และผมก็ทึ่งกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชนิดนี้อย่างมากก็คือ บรรดาเนื้อสัตว์เจทั้งหลาย เช่น หมูแดงเจ, กระเพาะปลาเจ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเขามีวิธีในการทำ ปรับสูตรยังไงถึงได้เนื้อสัมผัส และลักษณะภายนอกที่ใกล้เคียงกับของธรรมชาติ

นอกจากตัวอย่างข้างต้นก็จะเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ๆขึ้นมา เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผมเคยเอาคลิปของโรงงานมาม่ามาให้ชมในเว็บของเราแล้วนะครับ ซึ่งจะมีส่วนของการสรรหาสูตรบะหมี่ใหม่ๆ โดยการตระเวณกิน ลองหาชมในเว็บละกัน

ประโยชน์ของการพัฒนาใหม่นั้น นอกเหนือไปจากการที่จะได้ผลิตภัณฑ์ใหม่มาขาย ซึ่งบางทีจริงๆแล้ว ทางผู้ผลิตเองก็อาจจะมีเหตุผลอื่นๆด้วยนะเออ เช่น ต้องการขอปรับแจ้งราคาใหม่กับกรมการค้าภายใน ซึ่งกลไกในการปรับขอขึ้นราคากับตัวผลิตภัณฑ์ตัวเก่าที่เคยแจ้งจดไปแล้ว จะทำได้ยากเย็นมาก แต่ถ้าเราจดทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่แล้วยื่นราคาใหม่เลย ก็จะทำได้ง่ายกว่า เช่น นมหวานยูเอชทีปกติจะกล่องละ 11บาท ถ้าผู้ผลิตขอขึ้นเป็น 12.50บาท ตามราคาจริงที่ควรขาย(คิดจากต้นทุนที่เพิ่ม) รับรองว่ายากครับ... แต่ถ้าใส่แคลเซียมสักนิด ผสมไวตามินดีสักหน่อย แล้วทำการจดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ กลายเป็นนมหวานยูเอชทีผสมแคลเซียมและไวตามินดี โดยตั้งราคา13บาท ก็จะปรับราคาง่ายกว่า...และโรงงานอยู่ได้ด้วย

แล้วก็ทิ้งท้ายไว้กับความหัวใสของผลิตภัณฑ์อุทัยทิพย์.. โดยวิจัยพฤติกรรมการใช้ของผู้ซื้อ(มั้ง?) คงจะเคยเห็นสาวๆ เอาน้ำยาอุทัยทิพย์ที่เหยาะน้ำดื่มมาทาปากนะครับ สาวๆแถวนี้เขาว่าสีมันติดริมฝีปากนาน โรงงานเขาก็เลยแตกออกมาเป็นตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ซะเลย แล้วยังขายได้อีกต่างหาก

3. การปรับปรุงเฉพาะบรรจุภัณฑ์


จะหาบรรจุภัณฑ์ใดเล่าที่จะอินเทรนด์ในช่วงกาลนี้ เทียบเท่ากับบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก ถ้าไม่ใช่วัสดุที่สามารถย่อยสลายด้วยตัวเอง ก็ทำแบบ Re-fillออกมาเพื่อลดปริมาณขยะชิ้นใหญ่ ผู้ผลิตได้ทั้งภาพลักษณ์ ในวงการอุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง ถ้าใกล้ตัวหน่อยที่รู้จักกันดีก็ได้แก่ การนำเอาถุงทนร้อน หรือ เพาช์ มาใช้กับอาหารกระป๋องแทนกระป๋อง TFS เพื่อลดการใช้โลหะลง(แต่ก็ต้องแลกกับการปรับกระบวนการผลิตด้วย)

แต่ในปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารก็มีการพัฒนาด้านบรรจุภัณฑ์ เพื่อลดการใช้โลหะในส่วนของกระป๋อง โดยใช้โพลีเมอร์มาเป็นส่วนประกอบในส่วนของเนื้อโลหะ เราเรียกสิ่งนั้นว่า กระป๋อง TULC

หรือที่มาแล้วไปแล้วอย่างรวดเร็ว ก็ได้แก่ "ตราหมีบีบ" ที่ออกมาบรรจุภัณฑ์สะดวกใช้ให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการเลือกซื้อ บอกตรงๆว่าผมชอบบรรจุภัณฑ์ตราหมีบีบแบบนั้นมากๆครับ เพราะมันใช้สะดวกดี หนึ่งคือไม่ต้องเจาะ ไม่ต้องง้อที่เปิดกระป๋อง สองคือขนาดพอดีมือมาก ตอนนมเต็มๆสามารถยกแทนดัมเบลได้ สามคือฝามันปิดได้ เด็กที่อยู่หอจะชอบมาก เพราะว่าหลายคนไม่มีตู้เย็น พอเจาะนมข้นหวานแล้ว ถ้าไม่หาตู้เย็นแช่ ก็รับรองว่านมข้นได้ขึ้นราแน่

                การแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด แย่งชิงพื้นที่การวางตัวสินค้าบนชั้นวาง ในด้านการผลิตนักอุตสาหกรรมอาหารมีหน้าที่ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดต่างๆของวัตถุดิบที่มี ส่วนงานอื่นๆนอกจากนี้ก็จะเป็นส่วนของการโฆษณา การกระจายสินค้า แต่เชื่อเถอะครับว่าถ้าสินค้ามีคุณภาพดีจริง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และอยู่ในกระแสสังคม ยังไงๆมันต้องขายได้ ดังนั้นผู้ที่หยุดการพัฒนาในแง่ต่างๆข้างต้น อยู่ดีๆก็อาจจะกลายเป็นผู้แพ้ ต่อให้ปัจจุบันคุณอยู่บนยอดเขาแต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่คุณมีผู้ตาม ผู้นำตลาดก็อาจจะร่วงลงมาได้เช่นกัน จริงๆแล้วคำว่าชัยชนะของการตลาดอาจจะไม่จำเป็นว่าผลิตภัณฑ์ของเราจะต้องมีส่วนแบ่งมากที่สุด แต่ที่ถูกต้องก็คือ การที่ผลิตภัณฑ์ของเรานั้นมีส่วนแบ่งตลาดในจุดที่ผู้ผลิตพึงพอใจ และคุ้มค่าการต้นทุนต่างๆ ซึ่งการจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราสู้กับแบรนด์อื่นๆได้ ผมได้แนะนำแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้างต้นไว้แล้ว




Duo-Trio Test

วิธีการจำแนกความแตกต่างของตัวอย่างกลุ่ม 2 ตัวอย่าง โดยการประเมินทางประสาทสัมผัส ซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างไปจากวิธี Triangle Test อยู่เล็กน้อยนะครับ สำหรับวิธีนี้เราจะมีตัวอย่างมาตรฐานตัวนึง แล้วในการทดสอบ ก็จะให้ผู้ทดสอบของเราทำการเลือกตัวอย่าง 1จาก2ตัว แล้วพิจารณาเปรียบเทียบด้วยประสาทสัมผัส ว่าตัวไหนที่เหมือนกับตัวอย่างมาตรฐาน ฟังที่ผมอธิบายแล้วอาจจะมึน ดูภาพประกอบดีกว่า

ขอยกตัวอย่างการวิเคราะห์ความแตกต่างทางประสาทสัมผัสด้วยเครื่องดื่มน้ำดำเหมือนเดิมครับ เพราะขี้เกียจทำรูปใหม่...จริงๆหลักการประเมินทางประสาทสัมผัสโดยการวิเคราะห์เชิงนี้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องจำกัดเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารนะครับ อะไรที่ใช้การประเมินประสาทสัมผัสก็สามารถใช้วิธีในทำนองนี้ได้เหมือนกัน

วิธีการทดสอบ DUO TRIOTEST

Pepsi กับ Coca-Cola



คุณแยกออกไหมครับ ระหว่างมุมน้ำเงิน กับ มุมแดง 

 ภาพการ์ตูน


ซ้ายมือสุดคือ ตัวอย่างมาตรฐานR ผู้ทดสอบจะต้องประเมินประสาทสัมผัสว่า... แก้วไหนกันแน่ระหว่างที่เลเบลด้วยเลข 200หรือ 987 ที่เหมือนกับตัวอย่างมาตรฐาน R

สำหรับวิธีประเมินทางประสาทสัมผัสด้วยวิธีนี้ โอกาสที่ผู้ทดสอบแต่ละคนเลือกแก้วถูกจะอยู่ที่ 50% วิธีนี้ก็เป็นวิธีการจำแนกความแตกต่างโดยรวม (Overall Different Test หรือ Overall Discrimination Test) แบบง่ายๆวิธีนึง ซึ่งมีประโยชน์มากในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 
 แบบฟอร์ม Duo Trio Test


ส่วนขั้นตอนต่อไปที่สำคัญคือการทดสอบสมมติฐาน ซึ่งเราจะต้องทำการตั้งสมมติฐานในลักษณะนี้นะครับ

สมมติฐานหลัก

H0 : ผู้บริโภคแยกความแตกต่างไม่ได้

สมมติฐานรอง

H1 : ผู้บริโภคแยกความแตกต่างได้

แล้วต่อจากนั้นเราต้องมีการกำหนดนัยสำคัญทางสถิติ และตัวทดลองที่คิดว่าเหมาะสมกับจำนวนตัวอย่างนี้ประกอบกัน

ผมเองไม่ค่อยชอบแบบฟอร์มที่มีช่องให้ผู้ทดสอบกรอกเยอะๆนะ ผมมองว่าในส่วนตรงนั้น เราในฐานะคนออกแบบการทดสอบต้องเป็นคนใส่เอง อาจจะใส่โค้ดเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเหยื่อ ที่สละเวลามาช่วยทำการทดสอบ ลองนึกภาพตอนที่เราไปเดินห้างสิครับ ใครๆก็คงจะไม่ชอบที่จะต้องมานั่งกรอกข้อมูลลงในเอกสารทีละหลายแผ่นแน่นอน ผมละเกลียดนักเชียว แบบฟอร์มที่ให้กรอกอายุแบบไม่ตั้งช่วงอายุมาให้ ดังนั้นการออกแบบฟอร์มจะต้องง่าย และเน้นในส่วนที่เราต้องการ และผู้ทดสอบเข้าใจง่าย ถึงจะเป็นแบบฟอร์มที่ใช้งานได้ดี




Triangle Test


ในเมื่อผมเปิดหมวดย่อยในเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์แล้ว การนำเสนอหลักการทดสอบทางประสาทสัมผัส ก็มีความจำเป็นที่จะต้องเขียนขึ้นมา เพื่อเราๆท่านๆ จะได้วิเคราะห์ความแตกต่างทางด้านประสาทสัมผัสได้อย่างมีหลักการนะครับ ก็เริ่มต้นจากวิธีที่ง่ายที่สุดกันก่อน นั่นคือ Triangle Test  ซึ่งเอาไว้ใช้สำหรับวิเคราะห์แยกความแตกต่าง(Difference Test) ของตัวอย่างสองในสาม โดยหนึ่งในนั้นจะเป็นตัวที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เราได้ทราบว่าผู้ทดสอบนั้นสามารถแยกกลุ่มได้หรือไม่



เพื่อให้เห็นภาพนะครับ น้ำอัดลมน้ำดำสองยี่ห้อนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนดี
 โค้ก กับ เปปซี คุณแยกรสชาดออกไหม


ถ้ากินจากแก้ว สารภาพครับว่า ผมยังแยกไม่ออกเลยว่า เปปซีกับโคคาโคลามันรสชาดต่างกันยังไง อันไหนซ่ากว่ากัน หรืออันไหนที่หวานกว่ากัน...แล้วผู้อ่านแยกออกไหมครับว่ามันต่างกันยังไง

วิธีการทดสอบ TRIANGLE TEST


ก่อนอื่นนะครับ เราก็ต้องเตรียมตัวอย่างสามตัวอย่าง โดยที่มีการเลเบล(label)เลขรหัส ซึ่งมีประโยชน์ช่วยในการบันทึกข้อมูล สมัยผมเรียนเขาจะมีตารางเลขสุ่มมาให้ของเมลการ์ด ผู้ทดสอบหรือเหยื่อของเราต้องไม่ทราบว่า ในแต่ละตัวอย่างนั้นใส่อะไรลงในแก้วไหน
 Triangle Test


สำหรับการวิเคราะห์นั้นนะครับ เราจะทำการวิเคราะห์โดยจะให้ผู้ทดสอบ ชิมหรือทดสอบทั้งสามตัวอย่างก่อนที่จะบอกว่า "แก้วใด จาก1ใน3นั้นที่มีรสชาดแตกต่างออกไป" ซึ่งโอกาสที่ผู้ทดสอบจะแยกถูกอยู่ที่ 33.3333% หรือ 1ใน3

จะเห็นว่าวิธีนี้มีรูปแบบง่ายมากใช่ไหมครับ ก็มันง่ายจริงๆนั่นแหละ แล้วก็อย่าลืมเรื่องของจำนวนผู้ทดสอบด้วยนะครับ ยิ่งเยอะ ก็จะยิ่งลดความแปรปรวนลงได้ การใช้ตัวอย่างน้อยๆจริงๆก็ทำได้เหมือนกัน ถ้าได้มีการฝึกฝนผู้ชิมแล้ว แต่ถ้าผู้ชิมไม่ใช่โปร หรือเซียนในด้านดังกล่าว ก็ให้ใช้จำนวนผู้ทดลองเยอะๆไว้ก่อน ความคลาดเคลื่อนจะได้ลดลงบ้าง
 Triangle Test Form


ส่วนขั้นตอนต่อไปที่สำคัญคือการทดสอบสมมติฐาน ซึ่งเราจะต้องทำการตั้งสมมติฐานในลักษณะนี้นะครับ

สมมติฐานหลัก

H0 : ผู้บริโภคแยกความแตกต่างไม่ได้

สมมติฐานรอง

H1 : ผู้บริโภคแยกความแตกต่างได้

แล้วต่อจากนั้นเราต้องมีการกำหนดนัยสำคัญทางสถิติ และตัวทดลองที่คิดว่าเหมาะสมกับจำนวนตัวอย่าง ซึ่งผมได้อธิบายไปในส่วนของเรื่องสถิติไว้แล้วนะครับ ลองกลับไปอ่านบทความในบล็อกนี้ดู

TRIANGLE TEST มันมีประโยชน์ยังไง

ในความง่ายของวิธีนี้มันกลับมีประโยชน์มากมาย สมมติว่าเราพัฒนาสูตรอาหารที่มีความคล้ายคลึง(หรือเลียนแบบ) กับสินค้าเจ้าตลาด แล้วผู้ทดสอบส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้ นั่นก็แปลว่าเราประสบความสำเร็จในการลอกเลียนสูตรอาหารแล้วนะจ๊ะ หรือในอีกกรณีคือ การพัฒนาสูตรอาหารเพื่อทดแทนของที่มีอยู่เดิมแล้ว หรือทดสอบการยอมรับผลิตภัณฑ์ใหม่กับของเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น สมมติว่าเราจะเปรียบเทียบกุนเชียงสูตรมาตรฐาน กับกุนเชียงที่มีการใช้สารเคมีอื่นแทนฟอสเฟต เป็นต้น

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่สามารถดูรูปได้อ่าาค่ะ

    ตอบลบ
  2. อยากทราบว่าถ้าจะทดสอบสูตรมาตรฐานกับสูตรที่พัฒนาแล้ว มีทั้งหมดแค่2สูตร เราควรใช้วิธีไหนหรอคะ

    ตอบลบ